คู่มือ

การคิดบวก: วิธีฝึกฝนเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น

การคิดบวกเป็นทักษะที่ฝึกฝนได้ ช่วยให้คุณมีภูมิคุ้มกันทางใจ มองเห็นโอกาสในทุกปัญหา และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้น

เผยแพร่เมื่อ อัปเดตล่าสุดเมื่อ

บทนำภาพ

ลูกบอลสีเหลืองที่มีรูปยิ้มนั่งอยู่บนหญ้า
Photo by Ahmed Zayan on Unsplash
อิโมจิรูปยิ้มสีเหลืองบนผ้าสีเทา
ผ้าลายหัวใจสีเหลืองและดำ
ป้ายนีออนเขียนว่า live colorfully
Photo by Clay Banks on Unsplash
ฉันเป็นผู้ชายที่ดี ฉันเป็นผู้หญิงที่ดี ฉันเป็นเด็กผู้หญิงตัวน้อย
Photo by Susan Q Yin on Unsplash
วันจันทร์คือวันศุกร์ที่สะกดต่างกัน
ผู้หญิงผมบลอนด์ยิ้มอยู่หน้ากำแพงลายเรขาคณิต
ชายหนุ่มใส่แว่นยิ้มอย่างอบอุ่น
ผู้ชายในเสื้อเชิ้ตสีฟ้ายิ้มอยู่หน้ากำแพงลายเรขาคณิตสีสันสดใส
หญิงสาวผมหยิกกำลังยิ้ม
ผู้หญิงกำลังยกนิ้วโป้งทั้งสองข้างพร้อมรอยยิ้ม
หญิงสาวผมหยิกกำลังยิ้มอย่างอ่อนหวาน
หญิงสาวผมหยิกกำลังหัวเราะอย่างสนุกสนาน
ผู้ชายยิ้มในเสื้อเชิ้ตลายสกอตต์กับพื้นหลังสีเทา
ผู้หญิงในชุดสูททำสัญลักษณ์ชูสองนิ้วให้กล้อง
ผู้หญิงกำลังทำท่าตกลงด้วยมือ
ผู้ชายยิ้มและยกนิ้วโป้ง
หญิงสาวผมหยิกกำลังยิ้มกว้าง
ผู้หญิงยิ้มในเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกำแพงสีสันสดใส
หญิงสาวผมหยิกกำลังหัวเราะอย่างสนุกสนาน

ความคาดหวัง

ตอนแรกที่เพื่อนชวนให้ลองฝึกคิดบวก ฉันก็แอบคิดในใจว่า "อีกแล้วเหรอ แค่คิดดีก็มีความสุขได้จริงหรือ" แต่ด้วยความที่เครียดจากงานและชีวิตส่วนตัวมากๆ เลยตัดสินใจลองดูสักตั้ง เริ่มจากหาวิธีบันทึกความสุขมาก่อน แล้วก็ซื้อสมุดสวยๆ มาสักเล่ม ใจหนึ่งก็ยังสงสัยว่าแค่นี้จะช่วยอะไรได้ แต่ก็อยากลองดูสักตั้ง

วันแรกที่จดบันทึก ฉันนั่งพักอยู่ที่ร้านเครื่องดื่มใกล้ที่ทำงาน มองหาสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นตลอดวัน กลับพบว่าต้องใช้เวลานานกว่าจะนึกออกสักข้อ รู้สึกประหลาดใจที่ตัวเองอาจจะมองข้ามความสุขเล็กๆ รอบตัวไป

การดื่มด่ำ

ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ฉันเริ่มสังเกตความเปลี่ยนแปลง กลิ่นหอมของกาแฟยามเช้า เสียงนกร้องที่หน้าบ้าน แสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องผ่านม่านหน้าต่าง กลายเป็นความสุขเล็กๆ ที่ฉันไม่เคยให้ความสำคัญมาก่อน

วันที่งานเคร่งเครียด ฉันลองใช้เทคนิคการหายใจและคิดบวกแบบที่อ่านมา แทนที่จะโฟกัสที่ปัญหา ฉันพยายามหาบทเรียนและโอกาสในการพัฒนา รู้สึกเหมือนมีพลังบวกค่อยๆ เติมเต็มหัวใจขึ้นทุกวัน

การไตร่ตรอง

เมื่อเวลาผ่านไป การฝึกคิดบวกกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ฉันไม่ใช่คนใหม่ที่มองโลกในแง่ดีตลอดเวลา แต่เรียนรู้ที่จะยอมรับและจัดการกับอารมณ์ลบได้ดีขึ้น ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกับแฟนที่บอกว่าฉันเป็นคนใหม่ที่น่าคบหามากขึ้น

สิ่งที่ได้เรียนรู้มากที่สุดคือ การคิดบวกไม่ใช่การหลอกตัวเอง แต่เป็นการเลือกที่จะมองหาส

การคิดบวกอาจช่วยลดระดับความเครียดและความวิตกกังวลได้
ช่วยให้รู้สึกมีความสุขและพึงพอใจในชีวิตมากขึ้น
ส่งผลดีต่อสุขภาพจิตและอารมณ์โดยรวม
ช่วยให้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง
ส่งผลให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ช่วยสร้างความมั่นใจในตนเอง
ช่วยให้มองเห็นโอกาสใหม่ๆ ในชีวิต
  1. เริ่มต้นวันด้วยการขอบคุณ 3 สิ่ง
  2. จดบันทึกสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
  3. ฝึกเปลี่ยนความคิดลบให้เป็นบวก
  4. อยู่กับคนที่มีทัศนคติเชิงบวก
  5. ฝึกสติและมีสติอยู่กับปัจจุบัน
  6. ให้กำลังใจตัวเองทุกวัน
  7. มองหาบทเรียนจากปัญหาต่างๆ
  • สมุดบันทึกหรือแอปจดบันทึก
  • เวลา 5-10 นาทีต่อวัน
  • ใจที่เปิดกว้างพร้อมเรียนรู้
  • สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการฝึกฝน
  • ความอดทนต่อตนเอง

การฝึกคิดบวกควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ควรกดดันตัวเองมากเกินไป หากมีอาการซึมเศร้าหรือวิตกกังวล ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

การคิดบวกคือการฝึกมองโลกในแง่ดี มองหาสิ่งดีๆ และโอกาสในทุกสถานการณ์ แทนที่จะจดจ่ออยู่กับปัญหา
การเปลี่ยนแปลงอาจเกิดขึ้นในระยะเวลาที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ
ไม่ การคิดบวกที่ถูกต้องคือการมองเห็นปัญหาแต่เลือกที่จะหาทางแก้ไข ไม่ใช่การหลอกตัวเอง
สามารถฝึกได้ทุกเวลาที่เหมาะสมกับตารางชีวิตประจำวัน
ลองหาเวลาสัก 5 นาที นั่งสงบๆ หายใจลึกๆ และพยายามหาสิ่งดีๆ แม้เพียงเล็กน้อยในวันนั้น
การจดบันทึกเป็นเครื่องมือที่ดี แต่ไม่จำเป็นต้องทำทุกวัน ควรทำเมื่อรู้สึกพร้อมและมีเวลา
แน่นอน การคิดบวกช่วยลดความเครียดซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพกายโดยรวม
ได้ดีด้วยซ้ำ เพราะจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้เด็กเติบโตมาอย่างมีคุณภาพ
ไม่จำเป็นต้องเลิกคิดลบทั้งหมด แค่รู้เท่าทันและเลือกตอบสนองอย่างเหมาะสม
ช่วยได้มาก เพราะลดความกังวลและความคิดฟุ้งซ่านก่อนนอน
มีหนังสือแนะนำหลายเล่มเกี่ยวกับการคิดบวกที่สามารถหาอ่านได้ตามร้านหนังสือทั่วไป
เริ่มจากแค่ 1 นาทีต่อวันก็ได้ เช่น ฝึกขอบคุณสิ่งดีๆ ก่อนนอน

เริ่มต้นกับท้าทายการคิดบวก เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน